วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

10 อันดับ ข้อห้ามอย่าทำในเกาหลี

10 อันดับ ข้อห้ามอย่าทำในเกาหลี


     ช่วงนี้ไม่ว่าจะทำอะไร จะเที่ยวที่ไหนก็ฮิตตามกระแสเกาหลี หรือที่เรียกกันว่า เกาหลีฟีเวอร์นั่นเอง คนไทยส่วนมากเดี๋ยวนี้นิยมไปเที่ยวเกาหลีกันมากขึ้น และสิ่งที่คาดหวังก็คือคงจะเหมือนในซีรีย์เกาหลีที่เราได้ดูว่า เมืองเค้าน่าอยู่น่าเที่ยว อาหารการกิน ผู้คนที่หน้าตาดี เผื่อไปแล้วอาจจะเป็นเหมือนนางเอกซีรีย์ที่พบเรื่องราวแสนจะโรแมนติก  จึงมีบทความดีๆที่เค้าเขียนไว้เกี่ยวกับสิ่งที่เราไม่ควรทำ เมื่อไปเยือนประเทศเกาหลีมาให้อ่านกัน ถ้าทำแล้วจะเกิดอะไรขึ้น มาดูกันเลยค่ะ

10 อันดับ ข้อห้ามอย่าทำในเกาหลี
อันดับที่ 10 อย่าหวังพบคนถูกใจ

     ไอ้ที่คุณวาดฝันมาจากหนังรัก เกาหลีทั้งหลายและหวังจะมาพบเจอหนุ่ม ตี๋หล่อผู้สุภาพหรือสาวน่ารักจิ้มลิ้มในแดนกิมจิ คุณควรยุติมันไว้แค่นั้น เพราะหนุ่มสาวส่วนใหญ่ในเกาหลีนั้นหน้าตาธรรมดามากๆ(ค่อนข้างไปทางแย่) ไม่ว่าจะไปเดินในแหล่งที่อุดมวัยรุ่นแค่ไหนก็ยังหาที่โดนใจได้ยาก เพราะที่เราเห็นสวยหล่อในหนังละครนั้นเป็นประชาชนส่วนน้อยครับ (หนุ่มสาวชาวไทยเจ๋งกว่าเยอะ)



10 อันดับ ข้อห้ามอย่าทำในเกาหลี
อันดับ ที่ 9 อย่าหวังพึ่ง ฟุด ฟิต ฟอ ไฟ

     แม้คุณจะได้ความมั่นใจในการฟุด ฟิต ฟอ ไฟ จากครูเคทมาแล้วหลายครั้ง แต่การพูดภาษาอังกฤษในเกาหลีต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน เพราะคนที่นี่นอกจากจะไม่พูดอังกฤษแล้ว เขาก็ไม่มองว่าคนพูดอังกฤษได้จะดูเป็นคนเก่งหรือน่าชื่นชมแต่อย่างใด จึงเห็นได้ชัดเจนว่าในเกาหลีมีชาวฝรั่งมาท่องเที่ยวกันน้อยเหลือเกิน



10 อันดับ ข้อห้ามอย่าทำในเกาหลี
อันดับ ที่ 8 อย่าซื้อของปลอม!

     ไม่ใช่จะมาโปรโมตเรื่อง ลิขสิทธิ์ทางปัญญา แต่จะบอกว่าคุณภาพของก๊อปปี้ในเกาหลีก็ไม่ต่างจากสินค้าย่านประตูน้ำสักเท่า ไหร่ ดังนั้น หากคุณจะซื้อของปลอมจากที่นั่น และมาย้อมแมวหลอกเพื่อนว่าเป็นสินค้าจากเกาหลีคุณก็อาจจะเสียเพื่อนเอาง่ายๆ



10 อันดับ ข้อห้ามอย่าทำในเกาหลี
อันดับ ที่ 7 อย่ามักง่าย(ในร้านฟาสต์ฟูด)

     แม้กาแฟเย็นจะไม่เอาอ่าว แต่เรื่องความเป็นระเบียบวินัย และสปิริตการรักษาความสะอาดในร้านฟาสต์ฟูด คงต้องยกให้คนเกาหลี คุณคิดดูสิ นอกจากจะรณรงค์ให้คนเก็บภาชนะ เทขยะลงถังแล้ว ยังละเอียดถึงขั้นให้แยกประเภทภาชนะอีกด้วย และคนเกาหลีทั้งวัยรุ่นขาโจ๋หรือคนแก่แค่ไหน ต่างก็พร้อมใจกันทำเหมืนเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ดังนั้นคุณอย่าเผลอทำตัวเหมือนในบ้านเราเด็ดขาด!



10 อันดับ ข้อห้ามอย่าทำในเกาหลี
อันดับ ที่ 6 อย่าสั่งกาแฟเย็น(ในร้านฟาสต์ฟูด)

     ไม่เชื่ออย่าลบลู่ ถ้าคุณไม่อยากเสียเงินซื้อน้ำล้างจานฟรีๆไม่ได้พูดโอเว่อร์ เพราะกาแฟเย็นในร้านฟาสต์ฟูดของเกาหลีรสชาติแย่จริงๆ สันนิษฐานได้ว่าที่เกาหลีมีร้านกาแฟอยู่มากมาย และผู้คนก็ชอบที่จะดื่มกาแฟตามร้านเหล่านั้นมากกว่าดังนั้น เครื่องดื่มชนิดนี้ในร้านฟาสต์ฟูดจึงไม่ได้รับการปรับคุณภาพตามมาตรฐาน ISO แต่อย่างใด



10 อันดับ ข้อห้ามอย่าทำในเกาหลี
อันดับ ที่ 5 ระวังถูกชน!

     ไม่ได้หมายถึงถูกรถชนนะครับ คนเกาหลีนี่แหละที่จะชนคุณจนหงายเก๋งได้ แถมยังไม่มีแม้แต่คำขอโทษ เพราะคนที่นี่ทั้งชายและหญิงต่างเดินกันเลนไหนเลนนั้น ใครขวางข้าชน ซึ่งถ้าคุณต้องสัญจรบนทางเท้าอันพลุกพล่านในเกาหลี และแน่ใจว่าไปไม่รอด ขอแนะนำให้สวมฟองน้ำไว้ที่หัวไหล่ตั้งแต่ลงจากเครื่อง บิน!



10 อันดับ ข้อห้ามอย่าทำในเกาหลี
อันดับ ที่ 4 อย่าทำอะไรกวนใจโชเฟอร์

     คนเกาหลีดุมาก อันนี้เรื่องจริง แม้โชเฟอร์แท็กซี่ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น หากคุณนั่งอยู่บนรถของเขาและเกิดนึกจะหยิบจับปรับช่องแอร์อะไรก็ตาม โชเฟอร์จะตวาดคุณทันทีด้วยน้ำเสียงเหมือนคุณจะเบี้ยวค่าโดยสาร และหากโชคไม่ดีคุณจะโดนตีมือดังเพี๊ยะ! ให้งงเล่น



10 อันดับ ข้อห้ามอย่าทำในเกาหลี
อันดับ ที่ 3 อย่าโบกแท็กซี่คันสีดำ

     คุณอย่าใช้ความเคยชินในเมืองไทย ที่ว่าจะต้องขึ้นแท็กซี่รุ่นใหม่ เท่านั้นเพราะถ้าคุณ เผลอไปใช้บริการแท็กซี่สีดำที่มักจะลวงตาคุณด้วยยี่ห้อเบนซ์หรือ บีเอ็มดับเบิ้ลยู คุณอาจจะหมดตัวเอาง่ายๆเพราะรถประเภทนี้คือรถ เดอลุกซ์(ภาษาเกาหลีเรียก ว่าโมบอม) และมิเตอร์จะเริ่มต้นราคาที่แพงกว่ารถคันอื่นๆเกือบเท่าตัว! (ทางที่ดีคุณควรจะหัดขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินจะดีกว่า)



10 อันดับ ข้อห้ามอย่าทำในเกาหลี
อันดับ ที่ 2 ฉ่อน จี ฮยอน ไม่ใช่ จอน จี ฮุน

     หากคุณคลั่งไคล้ฉ่อน จี ฮยอน มากถึงขั้นจะบินไปหาเธอที่เกาหลีคุณต้องท่องและออกเสียงชื่อของเธอให้ขึ้นใจ ว่าฉ่อน จี ฮยอนไม่ใช่ จอน จี ฮุนถ้าคุณไปถามคนที่นั่นว่ารู้จัก จอน จี ฮุน บ้างไหมเขาอาจจะเข้าใจว่าบุคคลนี้เป็นอาชญากรตัวร้าย และคุณคือผู้สมคบคิดข้ามแดน (ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นชื่อคน สถานที่ สิ่งของ เมื่ออยู่ที่นั่นแล้วคุณควรออกเสียงให้ถูกต้อง)



10 อันดับ ข้อห้ามอย่าทำในเกาหลี
อันดับ ที่ 1 คุณคือ Tourist ไม่ใช่ Business man

     ถ้าคุณไม่อยากเจอปัญหาหนักอกกับใบหน้าเจี้ยมๆ ของ ต.ม.(กองตรวจคนเข้าเมือง)คุณต้องไม่กรอกจุดประสงค์ในการเข้ามาประเทศเกาหลี ใต้ในเอกส ารว่า Business อย่างเด็ดขาด มิเช่นนั้นคุณจะต้องเสียเวลากับกิริยาก้าวร้าวและไม่รับฟังเหตุผลของพนักงาน ที่นั่นจ นคุณอาจจะฉุนขาดได้ ดังนั้นไม่ว่าคุณจะมาที่เกาหลีเพื่ออะไร คุณต้องบอกและกรอกไปว่าคุณคือ Tourist

ที่มา : http://www.toptenthailand.com/display.php?id=1104

10 อันดับสถาณที่ท่องเที่ยวในกรุงโซล


อันดับ 10 คลองชองเกชอน

           ที่เอาคลองซองเกชอนเข้ามาติดอันดับนั้น ก็เพราะว่าผมอยากให้เห็นถึงนวัตกรรมในการบำบัดน้ำเสีย และความตั้งใจจริงของรัฐบาลและประชาชนเกาหลี ที่จะเปลี่ยนคลองที่มีน้ำเน่าเสียและตื้นเขินให้หลายเป็นคลองที่ ไม่มีกลิ่นเหม็น น้ำใสสะอาด ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของกรุงโซล ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับบ้านเราก็คงจะเป็นคลองแสนแสบ แต่จะให้น้ำใสสะอาดเหมือนคลองซองเกชอน ก็คงต้องใช้ความร่วมมือทั้งรัฐบาลและประชาชนอย่างมาก


           คลองชองเกชอน เป็นคลองโบราณในสมัยราชวงศ์โชซอน อายุกว่า 600 ปี ความยาวประมาณ 5.84 กิโลเมตร ไหลผ่านย่านใจกลางกรุงโซล แต่ในช่วงค.ศ. 1957-1977 ได้มีการพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดด ทำให้คลองถูกถมลงเป็นถนนและทางด่วน เกิดตึกสูงมากมาย คลองชองกเยชอนก็เริ่มเน่าเสียและตื้นเขิน เรียงไปด้วยชุมชนแออัด


          จนกระทั่งปีค.ศ. 2002 นายลี มยองปาก ได้รับตำแหน่งเป็นผู้ว่าการกรุงโซล เขาได้เสนอโครงการฟื้นฟูคลองชองเกชอน โดยมีพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนต่อต้านจำนวนมาก จนต้องมีการประชุมร่วมกันมากกว่า 2,000 ครั้ง แต่โครงการก็เริ่มขึ้นได้ด้วยดีในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2003 โดยเริ่มทุบทางด่วน และรื้อถนนโดยรอบมากมาย จนแล้วเสร็จในปีค.ศ. 2005 มีพิธีเปิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ใช้งบประมาณกว่า 380,000,000,000 วอน หรือราวๆ 1 หมื่นล้านบาท พร้อมกับฟื้นฟูธรรมชาติสองฝั่งคลอง ขุดท่อผันน้ำจากแม่น้ำฮันเข้ามาที่ต้นคลอง มีการสร้างน้ำพุตลอดแนว และมีน้ำตกเป็นแนวกั้นน้ำฝน มีสะพานกว่า 22 แห่ง และทางเดินเลียบคลอง จนปัจจุบันคลองชองกเยชอนได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญมากในกรุงโซล
          อันดับที่ 9 หมูย่างเกาหลี

           อีกหนึ่งเมนูที่คนไทยคุ้นเคยกันนี้นั่นคือ หมูย่างเกาหลี ซึ่งอาหารชนิดนี้มาแพร่หลายในเมืองไทยได้หลายปี แล้วกลายเป็นที่นิยมชนิดที่ใครไม่เคยทานถือว่าเชยเลยทีเดียว แต่ผมอยากให้ทุกท่านที่ไปเยือนเกาหลีได้ลอง นั้นต้องเป็นต้นตำหรับหมูย่างเกาหลีอยู่แล้วล่ะครับ ถ้าได้ลองจะรู้ว่าหมูนั้นชิ้นใหญ่ถึงขนาดว่าก่อนกินต้องใช้กรรไกรมาตัดให้เป็นชิ้นเล็ก และเนื้อนุ่มมาก ทานกับกิมจิสูตรลับของร้านซึ่งต้องบอกว่ากิมจินั้นแต่ละร้านรสชาติจะไม่เหมือนกันนะครับ ส่วนเครื่องเคียงนั้นก็มีหลายอย่าง จนเลือกกินไม่ถูกเลยครับ ทั้งผักสดๆ ซุบสาหร่าย ผักดอง แต่ถ้าอากาศหนาวๆก็ขาดไม่ได้เลยคือ โซจู ครับ ซึ่งโซจูนั้นจะคล้ายๆเหล้าขาวบ้านเราแต่ ดีกรีจะต่ำว่าและรสชาติออกหวานๆครับ แต่ขอสงวนไว้สำหรับผู้ที่บรรลุนิติภาวะนะครับ



           อันดับ 8 พระราชวังเคียงบก

          การมาประเทศเกาหลีทั้งที เราก็ต้องเรียนรู้วัฒนธรรมบ้านเค้าเอาไว้ใช่ไหมครับ เผื่อใครถามเราจะได้ยืดอกตอบได้อย่างภาคภูมิใจว่าเรามาเกาหลีไม่ได้แต่ช๊อปอย่างเดียว โดยที่พระราชวังเคียงบกเป็นที่รวมเอาประวัติความเป็นมาทั้งหมดของประเทศเกาหลีมาไว้ในที่เดียว เพราะในพระราชวังนั้นเป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติเกาหลี และพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านแห่งชาติ ซึ่งรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถอ่านได้จากตอนก่อนที่ผมเขียนมานะครับ ตามรอยวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์เกาหลี


           อันดับ 7 รถไฟฟ้ากรุงโซล

           เวลาเราจะเดินทางท่องเที่ยวที่กรุงโซล การเดินทางที่สะดวกที่สุดคงจะไม่พ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน แต่อย่าคิดว่าง่ายแบบบ้านเรานะครับ เพราะที่กรุงโซลนั้นมีรถไฟฟ้าหลายสายมาก ถ้ามองด้วยสายตาคงตาลาย ถึงขนาดที่คนเกาหลีเองจะต้องมีแผนที่ของรถไฟฟ้าใต้ดินไว้ในโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเป็นฟังก์ชั่นพื้นฐานของโทรศัพท์มือถือเลยทีเดียว ซึ่งก่อนขึ้นเราต้องศึกษาว่าจะขึ้นสายสีอะไร มีจุดเชื่อมต่อกับสายไหนบ้าง ซึ่งรถไฟฟ้าใต้ดินในกรุงโซลมีด้วยกัน 8 สาย 263 สถานี เรียกได้ว่ารถไฟใต้ดินนั้นครอบคลุมทั่วกรุงโซลเลย แถมยังยาวไปถึงต่างจังหวัดหรือเขตปริมณฑลด้วย เปิดให้บริการทุกวัน 06.00 - 24.00 น. รถไฟฟ้าในกรุงโซลจะแบ่งออกเป็นชื่อสี คือ สายสีน้ำเงิน เขียว ส้ม ฟ้า ม่วง น้ำตาลส้ม เขียวแก่ ชมพู บางสายก็ออกมาวิ่งบนดินให้เราชมวิวของกรุงโซลด้วยนะครับ


           อันดับ 6 ละครเวที

           สำหรับท่านที่เที่ยวในกรุงโซลจนเมื่อย แล้วอยากนั่งพักชมอะไรสนุกๆ ขำๆ แล้วล่ะก็ ในกรุงโซลก็มีโรงละครเวทีหลายที่มีการแสดงหลายประเภทให้เลือกชม เพราะจะคล้ายๆละครใบ้ เราไม่จำเป็นต้องรู้ภาษาเกาหลีก็สามารถเข้าใจได้ แต่ถ้ารู้ภาษาอังกษนิดหน่อยก็จะดีครับ การแสดงบางอย่างก็เคยเข้ามา โชว์ในเมืองไทยแล้วได้รับการตอบรับที่ดี เช่น
                                               
           Jump show เป็นละครใบ้ที่มีเอกลักษณ์อยู่ที่การนำเสนอศิลปะการต่อสู้แบบโบราณของเกาหลี ได้แก่ เทควันโด้และเทคยอน ผสมผสานกับศิลปะการต่อสู้ของชนชาติอื่นในแถบเอเชีย เช่น กังฟู คาราเต้ กระบี่กระบอง และมวยจีน โดยมีมุกตลกขำขันแทรกอยู่มากมาย


Nanta show เป็นการแสดงเกี่ยวกับการทำอาหาร โดยใช้อุปกรณ์ในครัวมาประกอบการแสดง จะมีจังหวะที่สนุกสนาน และ เนื้อเรื่องการแสดงที่ตลก เรียกเสียงฮาจากผู้ชมได้ตลอดเวลา
           อันดับ 5 ไก่ตุ๋นโสม

           อาหารขึ้นชื่ออีกอย่างของเกาหลีแถมยังใช้สมุนไพรประจำชาติอย่างโสมมาใช้ในการปรุงด้วยนั่นคือ ไก่ตุ๋นโสม หรือ ซัม-กเย-ทัง เป็นอีกหนึ่งเมนูที่ผมประทับใจ เพราะเป็นเมนูบำรุงสุขภาพ คลายหนาวได้ในฤดูหนาว (เป็นการปรับสภาพร่างกายให้อุ่นขึ้นจากภายใน) และที่น่าแปลกคือเอาไก่ทั้งตัวไปตุ๋นกับโสม และสมุนไพรจีน แล้วเอามาเสริฟกับชามร้อนๆ พร้อมด้วยกิมจิ, หัวไชท้าวดอง, เส้นขนมจีน, เหล้าโซจู และพริกไทย


           วิธีกินไก่ตุ๋นโสม คือจะต้องเทเหล้า “โซจู” ลงไปในชามไก่ เพื่อที่เนื้อไก่จะได้นุ่ม ไม่ต้องกลัวเมาครับ เพราะมันแทบจะไม่มีกลิ่นเหล้าเลยครับ แหวะตัวไก่ออกข้างในจะมีข้าวหมักไว้ ใส่เส้นขนมจีนลงไป แล้วปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย สูตรผมจะใส่พริกไทยเยอะ เพราะมันมีรสออกจัดจ้านขึ้น เพราะรสดั้งเดิมจะออกจืดๆหน่อยๆ แล้วกินกับเครื่องเคียงครับ อร่อยเหาะเลยทีเดียว
           อันดับ 4 T-Express สวนสนุก Everland

          อาจจะออกมานอกกรุงโซลซักนิดนึงนะครับ แต่ผมไม่อยากพลาดความตื่นเต้นของเจ้า T-Express ซึ่งคือรถไฟเหาะที่รางทำจากไม้แห่งแรกในเอเชีย และเป็นรถไฟเหาะที่เร็วสุด 104 km/hr และใช้เวลาวิ่งนานสุดในเอเชียด้วย เวลา 3 นาที ความสูงก็ 56 m เวลาวิ่งจะถูกอัดด้วยแรง 4.5 G โดยความชันตอนทิ้งดิ่งสุดๆ คือ 77 องศา เป็นรถไฟเหาะไม้ที่องศาชันสุดๆด้วย การจะเล่น T-Express นั้นอาจจะต้องคำนวณเวลากันด้วยนะครับ เพราะท่านอาจจะต้องต่อแถวเป็นชั่วโมงเลยทีเดียว แล้วอาจทำให้ท่านพลาดเครื่องเล่นอื่นๆ (แต่ผมคิดว่าคุ้มนะครับ)









    สวนสนุก Everland เป็นสวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเกาหลี มีเครื่องเล่นอีกมากมาย เช่น รถไฟเหาะ สวนสัตว์ และอื่นๆอีกมากมาย อีกทั้งโชว์ตระการตาและขบวนพาเหรดที่เป็นแบบฉบับเฉพาะไม่เหมือนใคร และที่นี่ยังมี Liger สัตว์ลูกผสมระหว่างสัตว์กับเสือ ( Lion+Tiger ) ที่หาดูได้ที่นี่ที่เดียวในโลกอีกด้วย ที่สำคัญไม่แนะนำให้ไปวันเสาร์-อาทิตย์ นะครับเพราะคนจะเยอะมากๆ
           อันดับ 3 ทงแดมุน

           ย่านช๊อปปิ้งชื่อดังของเกาหลี ที่นี่เราจะสนุกกับการเลือกซื้อเสื้อผ้านานๆชนิด ทั้งขายส่งและขายปลีก พูดไปก็เหมือนประตูน้ำบ้านเรานั้นเอง แถมยังต่อราคาได้อย่างสนุกสนานอีกด้วย จะต่อได้มากได้น้อยอันนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถนะครับ และอย่าลืมเอาเครื่องคิดเลขติดตัวไปด้วยนะครับ ถ้าพูดกันไม่เข้าใจจิ้มที่เครื่องคิดเลขเอาเลยครับง่ายที่สุด ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถอ่านได้ในตอน ตะลุยแหล้งช๊อปปิ้งแดนกิมจิ ครับ


           อันดับ 2 Seoul Tower

           หอคอยกรุงโซล (Seoul Tower) หรือบางครั้งเรียก “นัมซันทาวเวอร์” เพราะตั้งอยู่บนภูเขานัมซาน มีทางขึ้นอยู่ตรงสวนนัมซาน ซึ่งเป็นหอคอยที่มีความสูงจากฐานประมาณ 236.7 เมตร มีความสูงถึง 480 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ถูกสร้างขึ้นในปี 1969 และเปิดให้เข้าชมเมื่อ ปี 1980 ซึ่ง Seoul Tower เป็นหอคอย 1 ใน 18 หอคอยเมืองที่สูงที่สุดในโลก มีทั้งหอคอยดูดาว มีภัตตาคาร ซึ่งแยกเป็น 3 โซน Tower, Plaza, และ Lobby
 
          แต่หลายๆท่านจะไม่ได้หวังที่จะมาชมวิวเท่าไหร่ใช่ไหมครับ เพราะไฮไลท์ ของ Seoul Tower ที่คู่รักทุกคู่จะต้องทำอย่างเสียไม่ได้คือ การคล้องกุญแจคู่รัก Love Key Ceremony บนโซลทาวเวอร์ โดยที่จะเขียนข้อความ หรือชื่อของคู่รักไว้บนแม่กุญแจ และก็จะนำแม่กุญแจนี้ไปคล้องกับรั้วเหล็ก ส่วนลูกกุญแจเค้าจะทิ้งไป ด้วยความเชื่อที่ว่าหากคู่รักคู่ใด ได้มาเยือนและคล้องกุญแจคู่รักกันที่นี่ จะทำให้ความรักของทั้งคู่ยืนยาว ไม่พรากจากกันไปตลอดกาล


          ไม่เพียงแค่ไปคล้องกุญแจคู่รักนะครับ ที่นี่ยังมี พิพิธภัณฑ์เท็ดดี้แบร์ ( Teddy Bear Museum) สถานที่ที่เราจะได้เห็นได้สัมผัสหมีแท็คดี้แบร์ที่น่ารักจากทั่วโลก โดยจัดทำเป็นเรื่องราวและฉากที่แสดงเรื่องราวการก่อกำเนิดชนชาติ และบรรพบุรุษของคนเกาหลีว่ามีความเป็นมาอย่างไรบ้าง และจำลองวิถีชีวิตของคนเกาหลีตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยใช้ตุ๊กตาหมีแต่งตัวตามสไตล์น่ารักๆ ซึ่งอยู่ในอิริยาบทต่างๆ บ้างก็เคลื่อนไหวได้ แบ่งเป็น 2 โซนใหญ่ๆ คือโซนอดีตและโซนปัจจุปัน ท่านยังสามารถซื้อ ตุ๊กตาหมี Teddy Bear Shop ได้ที่ด้านล่างของ Seoul Tower อีกด้วย

           อันดับ 1 ตลาดเมียนดง

           แหล่งช๊อปปิ้งยอดนิยมของกรุงโซลเป็น ที่ตลาดเมียงดงนี้จะมีเสื้อผ้าแฟชั่น กางเกง รองเท้า น้ำหอม เครื่องสำอางค์ ทั้งแบบแบรนด์เนมชื่อดัง และโลคอลแบรนด์ ซีดีเพลง รูปดารา และอีกมากมาย ประมาณว่าอะไรที่วัยรุ่นอย่างเราๆ ต้องการก็สามารถหาได้จากที่ตลาดนี้เลยทีเดียวเลย แต่เป้าหมายหลักๆของคนไทยก็คงจะหนีไม่พ้น เครื่องสำอางค์ครับ ยี่ห้อดังๆ ก็จะเป็น Skin Food , Etude House , The Face Shop, Rojukiss ซึ่งกำลังเป็นที่นิบมในบ้านเราและราคาที่นี่ถูกกว่า shop ในบ้านเรา                                               
      


สำหรับเรื่องท่องเที่ยวประเทศเกาหลีก็คงจบเพียงเท่านี้นะครับ หวังว่าข้อมูลที่ทุกท่านได้อ่านจะเป็นประโยชน์ช่วยให้ท่านท่องเที่ยวเกาหลีได้สนุกขึ้นนะครับ แต่การจัดอันดับนี้เป็นแค่ความคิดส่วนตัวนะครับ ถ้าใครมีสถานที่น่าสนใจที่เหมาะกับการต้องลองเมื่อไปเที่ยวเกาหลีนะครับ ก็สามารถส่งเมลล์มาบอกกันได้นะครับ ส่วนในตอนหน้าผมจะพาไปเที่ยวที่ไหนโปรดติดตามกันด้วยนะครับ สวัสดีครับ

มาดูนิสัยของคนเกาหลีกันดีกว่า

    




                   


                 พื้นฐานเดิมเกาหลีเคยตกเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น 35 ปีและก่อนหน้านั้นก็เคยตกอยู่ใต้การปกครองของจีน มองโกเลีย ทำให้ชาวเกาหลีตระหนักถึงความยากลำบากต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดลักษณะนิสัยอย่างหนึ่งคือ ความขยันหมั่นเพียร เพื่อที่จะเอาชนะความยากลำบากเหล่านั้น และด้วยลักษณะนิสัยดังกล่าวนี้เอง เป็นส่วนทำให้ประเทศเกาหลีกลายเป็นประเทศพัฒนาเช่นปัจจุบันชาวเกาหลีจะมีนิสัยพูดเสียงดัง เนื่องจากว่าการพูดเสียงดังแสดงถึงพลังและอำนาจ และความเข้มแข็ง ดังนั้น ขณะสนทนากับชาวเกาหลี แม้ว่าจะอยู่ใกล้กันก็ตามแต่เขาจะพูดเสียงดังทีเดียว ทำให้ชาวต่างชาติรู้สึกเหมือนตะคอก หรือตะโกน แต่หากถามชาวเกาหลีแล้ว การพูดเสียงดังเช่นนั้นเป็นเรื่องปกติ
        ชาวเกาหลีจะเอาใจใส่กับงานที่ตนเองทำหรือรับผิดชอบ จะเอาจริงเอาจังกับนั้นมากทีเดียวชาวเกาหลีมักจะคิดเร็ว ทำเร็ว จนมีคำกล่าวว่า ทุกอย่างต้องเร็วหมด เนื่องจากสภาพที่เคยตกเป็นเมืองขึ้นทำให้เขากระทำทุกอย่างด้วยความเร็ว จะสังเกตได้ง่าย เช่น การทำงาน มีความรู้สึกว่าเขาทำงานด้วยความเร็วสูง หรือการเดินในที่สาธารณะ เพราะความเร็วนี้เอง เมื่อเดินในที่สาธารณะจะปะทะกับผู้อื่นตลอดเวลา สร้างความไม่พอใจให้กับชาวต่างชาติ แต่สำหรับชาวเกาหลีแล้ว การเดินปะทะกันเช่นนั้นไม่ใช่สิ่งแปลก ปัจจุบันนี้สภาพการแข่งขันทางเศรษฐกิจมีมาก ก็ยิ่งสร้างความเร็วให้กับชาวเกาหลีมากยิ่งขึ้นเมื่อไปรับประทานอาหารร่มกันหลาย ๆ คน คนเกาหลีจะไม่แยกกันจ่ายหรือเฉลี่ยกัน โดยทั่วไปแล้ว คนที่ชวนคนอื่นจะเป็นผู้จ่าย และมักจะเลี้ยงอาหารดี ๆ เพื่อให้ประทับใจ

        นอกจากข้างต้นแล้ว สามารถสรุปนิสัยด้านดีของชาวเกาหลีได้ดังนี้ คือ บากบั่น ขยันหมั่นเพียร ซื่อสัตย์ มั่นคง เคารพบรรพบุรุษ เป็นคนช่างคิด รักในการเรียน มีความอ่อนน้อมถ่อมตน เคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่ มีความกตัญญู ความเป็นชาตินิยมสูง

        ข้อเสียของชาวเกาหลี คือ ยึดตัวเองเป็นหลักมากเกินไป แบ่งพรรคแบ่งพวก การเอาชนะผู้อื่น ขาดเหตุผล มองโลกในแง่ร้าย มักไม่ไว้ใจคนอื่น มีข้ออ้างหรือข้อแก้ตัวตลอดเวลา


การทักทาย

        การทักทายของชาวเกาหลีจะใช้การโค้งคำนับ ซึ่งจะโค้งมากน้อยขึ้นอยู่กับความอาวุโสของผู้ที่รับการคำนับ

วัฒนธรรมเกาหลี

        ในปัจจุบันสังคมเกาหลีได้รับอิทธิพลจากตะวันตก จีน และญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นวัฒนธรรมบางส่วนได้เปลี่ยนไปบ้าง โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น ถือว่าเป็นรุ่นที่ยอมรับวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามามากที่สุด เกาหลีมีวัฒนธรรมที่น่าสนใจมากมาย แต่ในที่นี้จะขอเอ่ยถึงวัฒนธรรมที่สำคัญเท่านั้น

วัฒนธรรมการแต่งกาย

        ปัจจุบันชาวเกาหลีจะแต่งกายแบบสมัยนิยม แต่หากเป็นงานพิธี เช่น พิธีแต่งงาน พิธีวันเกิด หรือการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ก็จะนิยมแต่งกายโดยชุดประจำชาติ ซึ่งชุดประจำชาติของเกาหลี เรียกว่า “ฮันบก” หากแปลตามตัวอักษรแล้ว “ฮัน” หมายถึงชาวเกาหลี “บก” หมายถึงเสื้อผ้า หรือชุด รวมแล้วหมายถึง ชุดของชาวเกาหลีนั่นเอง

        ชุดฮันบกมีหลายลักษณะ ซึ่งจะออกแบบตามฤดูกาล เช่น ชุดฮันบกฤดูร้อนกับหนาว ความหนาของเนื้อผ้าและชุดจะแตกต่างกัน ชุดฮันบกของผู้สูงอายุกับวัยรุ่นหรือเด็ก ๆ ก็มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป เช่น ฮันบกของผู้อาวุโส จะเป็นสีพื้นหรือสีทึบ ๆ แต่ของวัยรุ่น จะมีลักษณะหลากสีสัน ชุดฮันบกสามารถบ่งบอกได้ว่าผู้หญิงที่สวมใส่นั้นแต่งงานหรือยัง หากมีลักษณะหลากสีสัน และมีแถบสีที่แขนหลาย ๆ แถบ แสดงให้เห็นว่าผู้นั้นยังไม่แต่งงาน และนิยมถักเปียยาวอีกด้วย หากเป็นชุดฮันบกสีขาว หมายถึง ชุดไว้ทุกข์ ดังนั้นโดยทั่วไปแล้ว ชาวเกาหลีจะไมใส่ชุดฮันบกสีขาว ในปัจจุบันผู้ที่สวมใส่ชุดฮันบกมักจะเป็นผู้ที่แต่งานแล้ว และเป็นผู้ใหญ่เป็นส่วนใหญ่

วัฒนธรรมการกิน

        อาหารหลักของชาวเกาหลี คือ ข้าว เช่นเดียวกับคนไทยที่กินข้าวเป็นอาหารหลัก แต่ลักษณะของกับข้าวนั้นแตกต่างกัน โดยเฉพาะรสชาติของเกาหลีนั้น จะมีความเผ็ดน้อยกว่าของไทย ทำให้ชาวไทยคิดว่าชาวเกาหลีรับประทานอาหารรสไม่จัด อาหารเกาหลีจะมีอาหารประเภทผักมากกว่าเนื้อ ชาวเกาหลีจะปลูกฝังให้ลูกหลานรับประทานผักมากกว่าเนื้อ

        สำหรับอาหารที่เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของเกาหลี คือ กิมจิ เป็นพวกผักดอง โดยใส่เครื่องปรุงรสลงไป ทุกครั้งที่รับประทานอาหารกิมจิจะต้องปรากฏบนโต๊ะอาหาร หากขาดกิมจิอาหารมื้อนั้นก็จะขาดรสชาติไปเลย หากบ้านไหนหรือร้านไหนทำกิมจิอร่อย ถือว่าบ้านนั้นทำกับข้าวได้อร่อยด้วย อาหารเกาหลีในแต่ละภูมิภาคนั้น จะมีรสชาติที่แตกต่างกัน จังหวัดชอลลาโด ได้ชื่อว่าเป็นจังหวัดที่อาหารอร่อยที่สุด อาหารที่ขึ้นชื่อได้แก่ พิบิมบับ ( ข้าวยำ ) คงนามูลกุกบับ ( ข้าวต้มถั่วงอก ) นอกจากนี้ยังมีอาหารชุด ซึ่งมีกับข้าวมากกว่า 20 ชนิด ( ฮันจองชิก )

        ชาวเกาหลีไม่นิยมนั่งรับประทานอาหารที่โต๊ะ แต่จะนั่งบนพื้นและมีโต๊ะสำหรับวางอาหาร ( พับซัง ) มีถ้วยซุปซึ่งวางทางด้านขวาของข้าวและมีช้อนกับตะเกียบวางอยู่ ชาวเกาหลีใช้ตะเกียบในการรับประทานอาหารซึ่งเป็นตะเกียบเหล็ก บนโต๊ะกับข้าว อาจมีหม้อแกงใหญ่วางอยู่ ซึ่งทุคนใช้ตะเกียบหรือช้อนของตนเองตักอาหาร ไม่ใช้ช้อนกลาง แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์และปรองดองกันได้เป็นอย่างดี

        มารยาทอย่างหนึ่งของการรับประทานอาหารคือ คนที่อาวุโสที่สุด ณ ที่นั้น จะเป็นผู้ที่จับช้อน ตะเกียบตักอาหารก่อน หลังจากนั้น ผู้น้อยจึงจะสามารถรับประทานอาหารได้ และเราจะต้องรับประทานอาหารที่ตักมาให้หมด หากรับประทานไม่หมดถือว่าอาหารนั้นไม่อร่อย

เครดิตข้อมูลและรูปภาพสวย ๆ จาก

  • http://learners.in.th

วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

มาทำความรู้จักกับประเทศเกาหลีคร่าวๆกันก่อนดีกว่า



ประเทศเกาหลีใต้หรือสาธารณรัฐเกาหลี
ตั้งอยู่บนคาบสมุทรเกาหลี ระหว่างทะเลตะวันออก (East Sea) ใกล้ๆกับญี่ปุ่น กับทะเลเหลือง (Yellow Sea) ถูกแบ่งออกเป็นสอง ส่วนที่บริเวณเส้นขนานที่ 38 โดยมีเขตปลอดทหาร (Demilitarized Zone:DMZ) หรือพันมุนจอม (Panmunjeom) คั่นกลางไว้ ด้านเหนือปกครองด้วยระบบคอมมิวนิสต์ คือเกาหลีเหนือ โดยมีรัสเซียหนุนหลัง ส่วนด้านล่างปกครองด้วยระบบประชาธิปไตย โดยมีสหรัฐอเมริกาเข้ามามีบทบาทช่วยเหลือ นั่นคือเกาหลีใต้
เกาหลีใต้มีพื้นที่ 99,500 ตารางกิโลเมตร ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาซึ่งมีถึงร้อยละ 70 ดังนั้นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติของเกาหลีจึงมีมากมาย คนเกาหลีเองนิยมไปปีนเขากันในวันหยุดวันเสาร์ อาทิตย์ด้วย
เกาหลีใต้มีประชากรประมาณ 49 ล้านคน โดย 1 ใน 4 ของประชาการทั้งประเทศจะเข้ามาอาศัยและทำงานในกรุงโซลซึ่งเป็นเมืองหลวง
เกาหลีใต้แบ่งออกเป็นเขตจังหวัดได้ 9 จังหวัด โดยแต่ละจังหวัดประกอบด้วยเมือง น้อยใหญ่ต่างๆหลายเมืองรวมกัน คือ
1.จังหวัดเคียงจิโด (Gyeonggi-do) เป็นที่ตั้งของเมืองหลวงกรุงโซล เมืองชูวอน เมืองอินชอน เมืองบูชอน เป็นต้น
2.จังหวัดคังวอนโด (Gangwon-do) มีเมืองซกโซ เมืองคังนึง
3.จังหวัดชุงชองนัมโด (Chungcheongbuk-do) ที่มีเมืองซูอันโบ
5.จังหวัดชอลลาบุกโด (Jeollbuk-do)
6.จังหวัดชอลลานัมโด (Jeollanam-do) มีเมืองกวางจู
7.จังหวัดเคียงซังบุกโด (Gyeongsangbuk-do)มีเมืองแดกู เคียงจู อันดง